เทคโนโลยีพร้อมถ่ายทอด
เกณฑ์ที่นิยมใช้กำหนดคุณภาพของเครื่องดื่มกาแฟของนักชิมประกอบด้วย กลิ่น (Aroma) ความเข้มข้น (Body) รสชาติ (Teste) และกลิ่น-รสที่เหลือหลังกลืน (After taste) ความเป็นกรดของกาแฟ และสีของกาแฟที่คั่วได้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อการกำหนดคุณภาพ ราคา และความนิยมของกาแฟในท้องตลาดได้ ซึ่งสีจึงถือเป็นปัจจัยที่สำคัญหนึ่งที่ผู้ผลิตกาแฟควรตรวจสอบอย่างละเอียดทั้งผลกาแฟขณะเก็บเกี่ยวและสีของเมล็ดกาแฟหลังคั่ว เนื่องจากสามารถส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ
การตรวจหาระดับของการคั่วกาแฟ ผู้ผลิตบางรายจะนำเทคโนโลยีการวิเคราะห์สีด้วยเทคนิคสเปคโทรสโกปี เช่น คัลเลอริมิเตอร์ (Colorimeter) มาใช้ตรวจสอบเมล็ดกาแฟหลังคั่ว ซึ่งเครื่องมือที่จำหน่ายทั่วไปแม้ว่าจะสามารถวัดความเข้มสีได้แม่นยำ แต่ราคาของเครื่องที่แพงและมีขนาดใหญ่ ไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายพกพา จึงเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากได้เช่นกัน ซึ่งปัญหานี้จะกระทบต่อผู้ผลิตกาแฟทั้งเกษตรกรและโรงคั่วรายเล็กในระดับชุมชนที่แม้ว่าจะผลิตกาแฟที่มีคุณภาพดี แต่อาจควบคุมระดับสีของผลกาแฟที่เก็บเกี่ยวและสีของเมล็ดกาแฟคั่วได้ไม่แม่นยำนัก จึงส่งผลต่อราคาจำหน่ายที่ต่ำลงได้
คณะผู้วิจัยจึงได้มีการพัฒนาเครื่องวัดสีขนาดเล็ก ที่มีการติดตั้งเซนเซอร์วัดค่าแม่สี RGB (Red/Green/Blue) และใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์สำหรับควบคุมการทำงานทั้งระบบ ทำให้มีความเป็นอัตโนมัติและขนาดกะทัดรัด เคลื่อนย้ายสะดวก และควบคุมแสงขณะตรวจวัดค่าสีให้คงที่ โดยข้อมูลค่าสีที่ได้จะสามารถรับ-ส่งบันทึกลงในโทรศัพท์มือถือผ่านทางแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นเอง เป็นการพัฒนานวัตกรรมขึ้นควบคู่กับการทำงานด้วยโทรศัพท์มือถือที่เป็นอุปกรณ์สื่อสารในชีวิตประจำวัน ผู้ใช้สามารถทำความเข้าใจในการใช้งานได้ง่าย สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายพกพาเมื่อใช้งานในพื้นที่จริง มีค่าใช้จ่ายที่ประหยัดมากขึ้น มีขั้นตอนการสอบเทียบมาตรฐานและการเก็บรักษาเครื่องมือที่ไม่ยุ่งยาก ให้ผลตรวจสอบรวดเร็ว และนอกจากการใช้ตรวจสอบคุณภาพกาแฟแล้ว ยังสามารถประยุกต์กับสินค้าทางการเกษตรอย่างอื่นได้อีกด้วย