2567 การเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์เชียงดาภูผึ้งหลวง   0


รายงานความก้าวหน้า

ไตรมาส ผลการดำเนินงาน งบประมาณที่ใช้ ผู้รับบริการ
4 [17530]

โครงการ การเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์เชียงดาภูผึ้งหลวง

กิจกรรมที่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านมาตรฐานคุณภาพสมุนไพรแห้ง (วันที่ 12 มิถุนายน 2567) ไตรมาส 3

                     กิจกรรมนี้ได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากสาธารณสุขจังหวัด คือ เภสัชกรสุวัฒน์ชัย สีใจสุ ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านมาตรฐานคุณภาพสมุนไพรแห้ง

                     เวลา 09.00 – 12.00 บรรยายเรื่อง มาตรฐานผลิตภัณฑ์สมุนไพร

                     เวลา 13.00 – 15.00บรรยายเรื่อง การควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพร

                     เวลา 15.00 – 16.00 ลงพื้นสำรวจโรงอบสมุนไพร และอาคารแปรรูป (อาคารกราวเครือแดง) เพื่อรองรับมาตรฐาน GMP โรงงานสมุนไพร 

ผลการดำเนินกิจกรรม

                     สมาชิกผู้แปรรูปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนภูผึ้งหลวงจำนวน 20 ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านมาตรฐานคุณภาพสมุนไพรแห้งประกอบด้วย การจัดการโรงผลิตและแปรรูป การเตรียมพร้อมในการยื่นขอมาตรฐาน และขั้นตอนการยื่นขอมาตรฐาน มผช. และ อย. เป็นต้น



รายงานโดย ผศ.ดร.ทิพวรรณ  ประเสริฐสินธุ์ วันที่รายงาน 22/09/2567 [17530]
15441 20
4 [17529]

โครงการ การเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์เชียงดาภูผึ้งหลวง 

กิจกรรมที่ 1ถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์และพัฒนากระบวนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเชียงดาเพื่อให้ได้สารสำคัญที่ต้องการ

กิจกรรมย่อยที่ 2 การคัดเลือกสายพันธุ์และการเพาะปลูกเชียงดาให้ได้คุณภาพ วันที่ 27 กรกฎาคม 2567 (ไตรมาส 3)

                       ได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาลำปาง คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญาวดี ศรีตนทิพย์ และคุณเปรมศักดิ์ สุริวงศ์ใย จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฮักน้ำจาง บ้านนากว้าว ต.บ้านกิ่ว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง โดยคณะทำงานได้พาเกษตรกรผู้ปลูกเดินทางไปศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ยังกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฮักน้ำจาง บ้านนากว้าว ต.บ้านกิ่ว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

 

กำหนดการ

อบรมเชิงปฏิบัติการการเพาะปลูกเชียงดาให้ได้คุณภาพ

วันที่ 27 กรกฎาคม 2567

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฮักน้ำจาง บ้านนากว้าว ต.บ้านกิ่ว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

 

เวลา

                             กิจกรรม

05.-00 - 10.30 น.

ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย ไปยัง

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฮักน้ำจาง บ้านนากว้าว ต.บ้านกิ่ว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

10.30 - 11.00 น.

กล่าวเปิดการอบรม

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทิพวรรณ ประเสริฐสินธุ์

หัวหน้าโครงการ การเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์เชียงดาภูผึ้งหลวง

11.00 - 11.30น.

บรรยาย การจำแนกและคัดเลือกพันธุ์ผักเชียงดา

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญาวดี ศรีตนทิพย์

11.30- 12.00 น.

บรรยาย วิธีการผลิตและเก็บเกี่ยวผักเชียงดาให้ได้คุณภาพ

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญาวดี ศรีตนทิพย์

12.00 - 13.00น.

พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.00 – 14.00น.

บรรยาย วิธีการขยายพันธุ์ผักเชียงดา

โดย คุณเปรมศักดิ์ สุริวงศ์ใย

14.00 – 15.00น.

ฝึกปฏิบัติการ การเพิ่มมูลค่าผักเชียงดาในท้องถิ่น

โดย คุณเปรมศักดิ์ สุริวงศ์ใย

15.00 – 15.30 น.

ถาม ตอบข้อซักถามและสรุปผลการดำเนินกิจกรรม ปิดกิจกรรม

15.30 - 20.00น.

เดินทางกลับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยสวัสดิภาพ

 

หมายเหตุ:  รับประทานอาหารว่าง เวลา 10.30-10.45 น. และ เวลา 14.30-14.45น.

ผลการดำเนินกิจกรรม

                      เกษตรกรผู้ปลูกจำนวน 10 คน ได้รับความรู้เรื่องการขยายพันธุ์ให้ได้สารสำคัญสม่ำเสมอ กระบวนการปลูก การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการเป็นศูนย์การเรียนรู้ครบวงจร นอกจากนี้ยังทำให้เกิดเครือข่ายการซื้อขายเชียงดาเกิดขึ้น

 



รายงานโดย ผศ.ดร.ทิพวรรณ  ประเสริฐสินธุ์ วันที่รายงาน 22/09/2567 [17529]
23384 10
4 [17526]

แพลตฟอร์มเพิ่มศักยภาพธุรกิจชุมชน

Building Community Enterprise: BCE

ชื่อโครงการ : การเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์เชียงดาภูผึ้งหลวง

กิจกรรม          ชี้แจงโครงการและวางแผนงาน     ครั้งที่   1        วัน/เดือน/ปี           31 มีนาคม 2567  (ไตรมาส 2)

รายละเอียดการดำเนินงาน

          1. ชี้แจงการดำเนินงานตามแผนงานโครงการเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์เชียงดาภูผึ้งหลวงให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมให้แก่ผู้ประกอบการและแกนนำในพื้นที่

          2. หารือรายละเอียดกิจกรรมที่ 1 ถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์และพัฒนากระบวนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเชียงดาเพื่อให้ได้สารสำคัญที่ต้องการ เนื่องจากกลุ่มมีการเพาะปลูกและเรียนรู้วิชาการด้านการเกษตรตามหลักการพื้นฐานวนเรื่องการทำสารชีวภัณฑ์และแนวปฏิบัติตามหลักการเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) และได้รับการรับรองอย่างต่อเนื่องในทุกปี

          3. สอบถามข้อมูลเบื้องต้นความรู้เรื่องสายพันธุ์และการดูแลรักษาของสมาชิกกลุ่มผู้ปลูกเชียงดา

ผลการดำเนินกิจกรรม

          1. ผู้ประกอบการรับทราบแผนงานโครงการเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์เชียงดาภูผึ้งหลวง

          2. ข้อมูลเบื้องต้นความรู้เรื่องสายพันธุ์และการดูแลรักษาของสมาชิกกลุ่มผู้ปลูกเชียงดา

              1) จำนวนการเพาะปลูกเชียงดาในพื้นที่ครอบครัวละประมาณ 30 – 90 ต้น ลักษณะการปลูกมีระยะห่างต่อต้นประมาณ 30 เซนติเมตร ขึ้นเป็นราวเพื่อให้ต้นเชียงดาสามารถเลื้อยพันได้ อายุของต้นเชียงดาจะทำการตัดแต่งเพื่อให้ต้นไม่โทรมประมาณปีละ 1 ครั้งเพื่อให้ออกใหม่และยอดมีความอวบ และจะทำการปลูกใหม่ทุก 3 ปีโดยประมาณการใช้เมล็ด

              2) ปัจจุบันสายพันธุ์เชียงดาที่ทำการเพาะปลูกในพื้นที่มี 2 สายพันธุ์ ได้แก่

                     2.1) สายพันธุ์พื้นเมือง ลักษณะลำต้นและใบเป็นไม้เลื้อยยอดยาว ใบเล็ก บาง ชุมชนจะเรียกว่า เชียงดาขายยอด ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ปลูกมานานในชุมชนและทำการขยายไปยังสมาชิกที่ส่งให้ผู้ประกอบการมากที่สุด โดยทำการตัดส่งนับ 3 ใบและตัดยอด

                     2.2) สายพันธุ์เชียงใหม่ เนื่องจากรับมาจากศูนย์เพาะพันธุ์และขยายพันธุ์พืชเชียงใหม่ (ยังไม่ทราบชื่อสายพันธุ์ที่เป็นไปตามหลักวิชาการ) มีการรับพันธุ์และขยายไปยังสมาชิกในพื้นที่ เช่น อ.พาน อ.เวียงชัย และบางพื้นที่ใน ต.เวียง อ.เทิง ลักษณะของลำต้นจะใหญ่และยอดพุ่งออกจากลำต้นตรง ใบหนาและกว้าง มีสีเขียวเข้ม

             3) การเพาะปลูกและปริมาณการเก็บเกี่ยว

                 3.1) การเพาะปลูก 2-3 ราว ราวละ 15-20 ต้น ในช่วงที่น้ำดี 15-20 วันเก็บเกี่ยวใบได้  1 ครั้ง น้ำหนักที่ได้ 18-20 กิโลกรัม ในช่วงน้ำแล้ง 21-30 วันเก็บเกี่ยวได้ 1 ครั้ง

                 3.2) การดูแลรักษา : หากปลูกในปริมาณไม่มาก มักไม่มีปัญหาเรื่องโรคพืช สามารถบำรุงได้โดยการใช้ปุ๋ยหมัก พี่อ้อให้ปุ๋ยทุกครั้งหลังการเก็บเกี่ยว (15 วันครั้ง)

            4) โรงอบพลังงานแสงอาทิตย์ และกระบวนการอบ

               4.1) โรงอบทรงโดมโค้ง มีพลังงานจากโซลาร์เซลล์ และไฟฟ้า โรงอบรองรับการอบเชียงดาได้สูงสุด 270 กิโลกรัม

              4.2) โรงอบมีมิเตอร์แสดงอุณหภูมิโดยมีเซนเซอร์ 2 ตัว (หน้าจอแสดงผลเสียไป 1 จอ)

              4.3 การอบในช่วงหน้าร้อน ต่อลอตใช้ระยะเวลา ประมาณ 3 วัน ต้องมีการกลับใบทุกๆ 2 ชั่วโมง หากไม่กลับใบจะทำให้ใบด้านบนไหม้และเสียคุณภาพ และใบด้านในมีลักษณะเหมือนโดนนึ่ง

             4.4) การรู้ว่าใบแห้งพร้อมเก็บเพื่อการส่งขายแล้ว ใช้การจับใบว่ากรอบดีแล้ว ในการเก็บใบแห้ง ต้องเข้าเก็บในช่วงเวลาที่ยังมีความร้อน (4-5 โมงเย็น) เพื่อให้ใบยังสามารถคงความกรอบไว้ได้

            4.5) ด้วยความร้อนของโรงอบ เวลาพลิกใบจึงเกิดการตกเสียหายลงที่พื้นโรง เสีย 2-3 กิโลกรัม/ลอต แต่จำเป็นต้องทิ้ง เพราะในกระบวนการกลับใบต้องรีบกลับ เพราะอุณหภูมิในโรงสูงมาก

สรุปประเด็นปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหา

ประเด็นปัญหา

แนวทางแก้ไขปัญหาด้วย วทน. /การบริหารจัดการ

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนยังขาดความรู้เรื่องมาตรฐานคุณภาพสมุนไพรแห้ง

ถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานคุณภาพสมุนไพรแห้ง

การคัดเลือกสายพันธุ์เชียงดาและกระบวนการเพาะปลูกเพื่อให้ได้สารสำคัญที่ต้องการ

ถ่ายทอดวิธีการคัดเลือกสายพันธุ์และพัฒนากระบวนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเชียงดาเพื่อให้ได้สารสำคัญที่ต้องการ

เชียงดาอบแห้งมีสีและกลิ่นที่เปลี่ยนไปเมื่อเก็บไว้เป็นระยะเวลานาน

ถ่ายทอดวิธีการยืดอายุการเก็บรักษาเชียงดาอบแห้งให้มีสี และกลิ่นคงที่ เพื่อลดปริมาณ ความเสียหายของกระบวนการผลิต และเพิ่มมูลค่าผลผลิตของเชียงดาอบแห้งให้สูงขึ้น

กระบวนการผลิตเชียงดาอบแห้งยังไม่ได้มาตรฐานทำให้มีผลผลิตเสียหาย

ปรับปรุงกระบวนการตากโดยการหาสภาวะที่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ระยะเวลาตาก และการระบายความร้อน

ผลผลิตจากเชียงดาทั้งหมดของกลุ่มจะอยู่ในลักษณะแห้งยังไม่มีความหลายหลาย และชาเชียงดาผลิตภัณฑ์เดิมยังไม่ได้มาตรฐาน

แก้ไขผลิตภัณฑ์เดิม ชาเชียงดาให้ได้มาตรฐาน

เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่  สกัดสารสำคัญเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบ

 



รายงานโดย ผศ.ดร.ทิพวรรณ  ประเสริฐสินธุ์ วันที่รายงาน 22/09/2567 [17526]
1316 0
4 [17528]

โครงการ การเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์เชียงดาภูผึ้งหลวง 

กิจกรรมที่ 1 ถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการคัดเลือกสายพันธุ์และพัฒนากระบวนการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเชียงดาเพื่อให้ได้สารสำคัญที่ต้องการ

                 ในการจัดกิจกรรมคณะทำงานร่วมปรึกษากับกลุ่มผู้ปลูกของวิสาหกิจชุมชนภูผึ้งหลวงได้ข้อสรุป 2 กิจกรรมย่อย  คือ

                1) การผลิตปุ๋ยคุณภาพสูงเพื่อการบำรุงเชียงดาให้ได้คุณภาพ โดยได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย คือ นายบุญทับ กันทะเตียน ตำแหน่ง ผู้ปฏิบัติงานเกษตร

                รายละเอียดในการบรรยาย  คือ

                1) ดินและองค์ประกอบของดิน การตรวจสอบความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดินแต่ประเภทไหนที่เหมาะกับการเพาะปลูกเชียงดา

                   ดิน คือ วัตถุตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการผุพังสลายตัวของหินและแร่ ต่างๆ ผสมคลุกเคล้ารวมกับอินทรียวัตถุหรืออินทรียสารที่ได้มาจากการสลายตัวของเศษซากพืชและสัตว์จนเป็นเนื้อเดียวกัน มีลักษณะร่วนไม่เกาะกันแข็งเป็นหิน เกิดขึ้นปกคลุมพื้นผิวโลกอยู่เป็นชั้นบางๆ และเป็นที่ยึดเหนี่ยวในการเจริญเติบโตของพืช

                   ความอุดมสมบูรณ์ของดิน  หมายถึง ปริมาณธาตุอาหารในดินที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ถ้ามีเพียงพอ เรียกว่า ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่ถ้าขาดแคลน เรียกว่า ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยการใช้ปุ๋ย เช่น

                   1. ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช

     2. ธาตุอาหารหลัก

     3. ธาตุอาหารรอง

     4.  ธาตุอาหารเสริม

              โดยในการปลูกพืชแต่ละประเภทเกษตรกรควรทำการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินก่อนทำการปลูกพืชประเภทนั้น ๆ เพื่อเพิ่มสารอาหารที่ขาดหรือลดปริมาณสารอาหารที่มีมากเกินไปทำให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ดี

วิธีการเก็บตัวอย่างดินเพื่อวิเคราะห์ธาตุอาหารพืช

หลักการการเก็บตัวอย่างดิน

                 1. การเก็บตัวอย่างดิน ควรเก็บก่อนการเพาะปลูกพืช เพื่อให้ได้ข้อมูลปริมาณธาตุอาหารพืชในดินที่ใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด

                 2. ตัวอย่างดินแต่ละตัวอย่างต้องเป็นตัวแทนของพื้นที่ที่มีความสม่ำเสมอ และขนาดของพื้นที่ไม่ควรเกิน 25 ไร่ (ตัวอย่างดิน 1 ตัวอย่างเป็นตัวแทนของพื้นที่ไม่เกิน 25 ไร่) แต่ถ้าพื้นที่ไม่สม่ำเสมอ สังเกตได้จากการเจริญเติบโตของวัชพืชหรือพืชที่ปลูก พื้นที่มีความลาดเทต่างกัน ประวัติการใช้ที่ดินต่างกัน ปลูกพืชต่างกัน หรือเคยใส่ปุ๋ยต่างกันต้องแบ่งพื้นที่นั้น ๆออกเป็นแปลงย่อย ๆ แล้วเก็บตัวอย่างดิน เพื่อให้ได้ตัวแทนของแต่ละแปลงย่อย กล่าวคือ ตัวอย่างดิน 1 ตัวอย่างใช้เป็นตัวแทนของแต่ละแปลงย่อย

                2) ปุ๋ย คือ วัสดุที่มีธาตุอาหารพืชเป็นองค์ประกอบ หรือสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดธาตุอาหารพืช เมื่อใส่ลงไปในดินแล้วจะปลดปล่อย หรือสังเคราะห์ธาตุอาหารที่จำเป็นให้แก่พืช

                ปุ๋ยเคมี คือ สารประกอบอนินทรีย์ที่ให้ธาตุอาหารพืช เป็นสารประกอบที่ผ่านกระบวนการผลิตทางเคมี เมื่อใส่ลงไปในดินที่มีความชื้นที่เหมาะสม ปุ๋ยเคมีจะละลายให้พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว

                ปุ๋ยอินทรีย์ มีปริมาณธาตุอาหารอยู่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี และธาตุอาหารพืชส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสารประกอบอินทรีย์ เช่น ไนโตรเจนอยู่ในสารประกอบจำพวกโปรตีน เมื่อใส่ลงไปในดินพืชจะไม่สามารถดูดไปใช้ประโยชน์ได้ทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน แล้วปลดปล่อยธาตุอาหารเหล่านั้นออกมาในรูปสารประกอบอินทรีย์ เช่นเดียวกันกับปุ๋ยเคมี จากนั้นพืชจึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้

                ปุ๋ยอินทรีย์มี 3 ประเภทคือ 1) ปุ๋ยหมัก 2) ปุ๋ยคอก และ 3) ปุ๋ยพืชสดจะปลดปล่อย หรือสังเคราะห์ธาตุอาหารที่จำเป็นให้แก่พืช

ผลการดำเนินกิจกรรม

                 เกษตรกรผู้ปลูก จำนวน 20 คน ได้รับความรู้เรื่องการใช้ปุ๋ยกับดินแต่ละประเภท และได้ลงมือทำปุ๋ยอินทรีย์เพื่อใช้ในการเพาะปลูกเชียงดา



รายงานโดย ผศ.ดร.ทิพวรรณ  ประเสริฐสินธุ์ วันที่รายงาน 22/09/2567 [17528]
23069 20